Give me a call 0452 646 956
ลลิตา ลอว์เรนซ์
ล่ามและนักแปลที่ได้รับการรับรองจากองค์กร NAATI ของประเทศออสเตรเลีย
สวัสดีค่ะ ชื่อลลิตา ลอว์เรนซ์ หรือเกดนะคะ เป็นล่าม (ไทยและอังกฤษ) และนักแปล (ไทยเป็นอังกฤษ) ที่ได้รับการรับรองจากองค์กร NAATI ของประเทศออสเตรเลียค่ะ เกดขอเล่าประวัติคร่าวๆให้ฟังว่ามีประสบการณ์งานอะไรมาบ้างและทำไมจึงลงเอยมาเป็นล่ามและนักแปลอยู่ทุกวันนี้ค่ะ
เกดรู้สึกเริ่มชอบภาษาอังกฤษตั้งแต่ช่วงมัธยมต้น ไม่ได้แค่ชอบแต่ภาษาอังกฤษนะคะ คือชอบเรียนอะไรที่เกี่ยวกับภาษาอื่นด้วย สมัยนั้นยังไม่ได้มีอินเตอร์เน็ต เกดก็จะส่งจดหมายกับเพื่อนต่างประเทศที่เป็นเพื่อนกันทางจดหมายที่เค้าเรียกกันว่า penpal ตื่นเต้นมากเวลาที่ได้รับจดหมาย มันเป็นงานอดิเรกที่ทำให้เรามีความสุขมาก หลังจากนั้นไม่นานก็มีอินเตอร์เน็ต เกดก็เริ่มมี penpal ทางอีเมล ทุกวันนี้ยังมี 2 คนที่ยังคุยกันอยู่ แบบว่าคุยกันมาตั้งแต่เด็กจนโต คุยกันสมัยเด็กๆ ว่าอนาคตเราอยากเรียนอะไร มีความใฝ่ฝันอะไร จนตอนนี้โตและมีครอบครัวกันหมดแล้วแต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันทั้งที่ไม่เคยเจอกัน 555 สมัยมัธยมชอบฟังมากกกกเลยค่ะเพลงฝรั่งเนี่ย ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างแต่ชอบฝึกแกะเพลงแล้วก็ไปเปิดพจนานุกรมหาความหมาย ตอนอยู่โรงเรียนจะชอบมากเวลาได้เรียนกับครูฝรั่ง ชอบไปฝึกพูดกับเค้า ชอบหาเรื่องไปคุย ชอบเรียนรู้สำนวนภาษาอังกฤษ ชอบดูรายการทีวีที่สอนภาษาอังกฤษ เกดเป็นคนที่ความจำดีมากก็เลยสะสมคำศัพท์มาตั้งแต่เด็กๆ จึงรู้เยอะแทบทุกวันนี้ จากเด็กประถมที่เกลียดวิชาภาษาอังกฤษมากที่สุดกลายเป็นเด็กมัธยมปลายคนหนึ่งในชั้นที่เก่งภาษาอังกฤษที่สุด เกดเรียนจบมัธยมปลายจากร.ร.พระหฤทัยคอนแวนต์และได้รางวัลเรียนดีอันดับที่ 2
เกดเรียนดีมากตั้งแต่เด็กๆแล้ว แต่เพิ่งจะมาขยันตอนมัธยมจนกลายเป็นเรียนได้ที่ 1 ที่ 2 ตลอด พออยู่ม.ปลายก็แน่นอนล่ะต้องเลือกศิลป์ภาษา (อังกฤษ-ฝรั่งเศส) ตอนใกล้จบม.ปลายก็ยังสอบเอนทรานซ์นะคะ คะแนนเกดติดอักษรศาสตร์จุฬาแต่ว่าเกดเลือกที่จะเอาทุนเต็มไปเรียนคณะศิลปศาตร์ (อักษรศาสตร์น่ะแหละ แค่คนละชื่อ) สาขาอังกฤษธุรกิจที่เอแบค เรียนฟรีตลอด 4 ปี เรียนไปด้วยทำงานเป็นติวเตอร์สอนพิเศษภาษาอังกฤษไปด้วยและทำงานแปลนิดหน่อย แต่จริงๆก็ไม่ถึง 4 ปีหรอกค่ะเพราะว่าเกดจบ 3 ปีครึ่ง เกดบ้าเรียนมาก คือด้วยความที่เกรดดีเค้าอนุญาตให้ลงเรียนเพิ่มเกดเลยสปีทจบ 3 ปีครึ่งและรับปริญญาพร้อมกับรุ่นพี่ แถมเกดยังจบได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ด้วย ถ้านับในเฉพาะเอกอังกฤษน่าจะหกร้อยคนเกดก็ได้เกรดเฉลี่ยสูงที่สุด แต่ว่ารู้มาว่าเกดได้เกรดจบสูงกว่าคนที่ได้เกียรตินิยมจากเอกอื่นที่รับปริญญาพร้อมกันในคณะศิลปศาสตร์ คือทั้งคณะพันกว่าคนเกดจบได้เกรดเฉลี่ยสูงที่สุดทำให้เกดดีใจและภูมิใจมากๆ คุ้มกับที่เหนื่อยเรียนมา
ตอนก่อนจบเอแบคเกดส่ง resume ไปตามสถานทูตที่เกดอยากไปทำงาน หลังจากจบเอแบคสถานทูตแคนาดาได้เรียกเกดไปสัมภาษณ์ เกดได้เข้าทำงานที่สถานทูตแคนาดาในตำแหน่ง Political and Public Affairs Assistant หลังจากนั้นประมาณหนึ่งปีเกดอยากเรียนต่อปริญญาโทสาขาอาชญวิทยาเลยตัดสินใจหาข้อมูลด้านนี้และมาเรียนต่อปริญญาโทที่ออสเตรเลีย เรียนจบ Master of Criminology and Criminal Justice จากมหาวิทยาลัย Griffith และได้รางวัลเรียนดี (ประมาณเหมือนกับเกียรตินิยมที่เมืองไทยเพราะเค้าวัดจากเกรดเฉลี่ย) Griffith Academic Award of Excellence ในปี 2009 ก็ไม่คิดหรอกค่ะว่าจะอยู่ต่อออสเตรเลียหลังจากนั้น แต่มาจนถึงตอนนี้ก็ติดเกาะยังไม่ได้กลับเลย (คิดถึงเมืองไทยและรักเมืองไทยมากๆเลยค่ะ)
เมื่อเรียนจบเกดได้ทำงานในองค์กรหนึ่งเกี่ยวกับการคุ้มครองเด็ก งานจะเกี่ยวกับหมายศาลและเรื่องเกี่ยวกับคดีศาลครอบครัวเยอะอยู่ และยังต้องติดต่อหน่วยงานรัฐบาลด้วย หลังจากนั้นไม่นานเกดได้เข้าทำงานที่องค์กรของรัฐบาลเกี่ยวกับคดีเยาวชน คล้ายๆกับเจ้าหน้าที่ควบคุมความประพฤติแต่ทำกับเฉพาะเยาวชนเท่านั้น พักงานตรงนี้ไปตอนมีลูกคนโตและได้เปิดธุรกิจเล็กๆของตัวเองขายเสื้อผ้าและรองเท้าเด็กอยู่ในช่วงที่ลูกยังเล็ก ขายออนไลน์บ้างแต่ส่วนใหญ่เปิดเต้นท์อยู่ตามตลาด (เป็นอะไรที่สนุกมากกกก) พอลูกโตหน่อยก็กลับไปทำงานรัฐบาลต่อ คราวนี้ไปทำอยู่ในคุกเยาวชนด้วย กลับไปคราวนี้ทำทั้งในคุก นอกคุก ห้องขังที่สถานีตำรวจ ศาล สมัครไปลองทำตำแหน่งอื่นๆเพื่อหาประสบการณ์ ตำแหน่งสุดท้ายคือเจ้าหน้าที่ประสานงานกับศาล (Court Coordinator) คือเข้าๆออกๆศาลเป็นว่าเล่นเลยค่ะ การทำงานด้านนี้มาหลายปีทำให้ได้ศัพท์กฎหมายเยอะมาก และไม่ใช่แค่รู้กฎหมายอย่างเดียว เกดเข้าใจเรื่องของกระบวนการยุติธรรมของคดีอาญาในประเทศออสเตรเลียค่อนข้างละเอียด
ทั้งนี้ทั้งนั้น ในใจเกดรู้ว่าวันหนึ่งเกดอยากทำอะไรเป็นของตัวเองมากกว่าและไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร รวมทั้งเหตุผลอื่นๆ ซึ่งก็เป็นที่มาให้กลับไปดูข้อมูลเกี่ยวกับการสอบเอาใบรับรองจาก NAATI ค่ะ ทุกวันนี้มีความสุขกับงานที่ทำ งานแปลและงานล่ามดีทั้งสองอย่าง งานแปลนี่บันเทิงปัญญาและท้าทายสุดๆ แปลงานไม่ใช่ว่าได้ภาษาแล้วจะแปลได้ เราต้องเข้าใจด้วย เช่น ถ้าเราจะแปลเรื่องของธุรกิจหรือการลงทุนเราก็จะต้องไปอ่านเรื่องนั้นเพราะว่าทุกด้านทุกแขนงจะมีศัพท์เฉพาะทาง งานล่ามทำแล้วอิ่มใจเพราะได้ช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน เกดทำงานล่ามทำด้วยใจ ทำเพราะใจรักจริงๆ ทุกครั้งที่เดินออกมาจากการทำงานล่ามเกดจะรู้สึกดีและมีความสุข
ส่วนชีวิตนอกเหนือจากงานก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะนอกจากครอบครัว มีลูกสาวที่น่ารัก 2 คน คนโต 10 ขวบ คนเล็ก 1 ขวบ แค่นี้ก็หมดเวลาแล้วค่ะ